Thursday, February 16, 2017




ประวัติศาสตร์ไทย ฉบับย่อ

จากการศึกษาทางโบราณคดี ทำให้เราทราบว่าบริเวณดินแดนของประเทศไทยสมัยก่อนประวัติศาสตร์ เคยมีชุมชนเล็ก ๆ อยู่ก่อนแล้วตั่งแต่ยุคหิน ซึ่งเป็นสังคมเกษตรกรรม

      ราว พ.ศ.ว. ที่ 5 การติดต่อค้าขายจากอินเดีย เป็นแรงพักดันให้ชุมชนเหล่านั้นได้รวมตัวกันเป็นชุมชนใหญ่ขึ้น ดังเช่นบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำภาคกลางตอนล่างได้เกิดเป็น อาณาจักรทวารดี (พ.ศ.ว. ที่ 11 หรือ  12- 18)
      อาณาจักรสุโขทัยเป็นอาณาจักรแรกของไทย ก่อตั่งเมื่อ พ.ศ.1781 ในสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราชเป็นช่วงที่รุ่งเรืองถึงที่สุดในทุกด้าน ทรงประดิษฐ์ลายสือไทยเมื่อ พ.ศ.1826  ในสมัยพระยาลิไท พระพุทธศาสนาได้รับการทำนุบำรุงเป็นอย่างมาก อาณาจักรเจริญรุ่งเรืองมาถึงปี 1891 อาณาจักรจึงถูกผนวกรวมเข้ากับอาณาจักรอยุธยา
      ในปี พ.ศ.1893 พระเจ้าอู่ทองได้สถาปนาอาณาจักรกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี มีการปฏิรูปทางด้านการทหาร กฎหมาย การปกครอง อีกทั้งยังเป็นยุครุ่งเรืองของศิลปวัฒนธรรม มีความสัมพันธไมตรีและติดต่อกับชาวตะวันตก ทว่าสงครามกับพม่าที่มีมาอย่างต่อเนื่องเป็นเหตุทำให้นำไปสู่การเสียกรุงทั้ง 2 ครั้ง  ครั้งแรกในปี พ.ศ 2112 ซึ่งสมเด็จพระนเรศวรมหาราชสามารถกู้กรุงคืนได้ในอีก 15 ปีต่อมา ครั้งที่สองเกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2310 ซึ่งเป็นการสิ้นสุดของอาณาจักรที่ดำเนินมา ถึง 417 ปี มีกษัตริย์ปกครอง 33 พระองศ์ 5 ราชวงศ์
      หลักจากอาณาจักรอยุธยาเสียกรุงให้แก่พม่า แม่ทัพอยุธยาคนหนึ่งนามว่า พระยาตาก (สิน) สามารถรวบรวมชาวไทยกู้กรุงคืนได้ในปีเดียวกันนั้น ได้สถาปนาเมืองธนบุรีเป็นราชธานี ทรงพระนามว่า สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ในปี พ.ศ. 2311 ทรงทำศึกสงครามกับต่างชาติและปราบก๊กต่าง ๆ ตลอดราชการเป็นเวลา 15 ปีเพื่อรวบรวมประเทศให้เป็นปึกแผ่น บ้านเมืองมีความเข้มแข็งกลายเป็นศูนย์กลางทางอำนาจในภูมิภาคนี้อีกครั้ง ปลายราชการพระองศ์เกิดสติวิปลาส บ้านเมืองเกิดการจลาจล ในปี 2325 สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกทรงได้ปราดาภิเษกขึ้นเป็นกษัตริย์ สถาปนาราชวงศ์จักรีขึ้น      แล้วย้ายเมืองหลวงมาทางฝั่งรัตนโกสินทร์ สถาปนากรุงเทพมหานครขึ้นเป็นเมืองหลวง
      ในตอนต้นแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ได้มีการพัฒนาประเทศทุก ๆ ด้าน มีการสร้างและบูรณะวัดวาอารมและพระพุทธรูป มีการขุดคลองเพื่อให้เป็นเส้นทางคมนาคม ชำระกฎหมาย  สังคยนาพระไตรปิฎก และฟื้นฟูศิลปะวิทยาการมากมาย
      พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงได้นำพาความก้าวหน้าจากชาติตะวันตกมาสู่ประเทศ สืบเนื่องจากรัชกาลที่ 4 ทรงเริ่มไว้  ทรงปฏิรูปการเมือง การปกครอง เลิกทาส นำพาประเทศสู่ความเป็นอารยะประเทศ  ในรัชกาลนี้เป็นเวลาที่ชาติตะวันตกกำลังแผ่อิทธิผลมาสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทรงดำเนินนโยบายทางการเมืองและการทูตได้อย่างเหมาะสม ทำให้ประเทศยังคงรักษาความเป็นเอกราชไว้ได้ แม้จะต้องเสียดินแดนบางส่วนเพื่อเป็นการแลกก็ตาม
      ในปี พ.ศ. 2475 ประเทศได้เปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นประชาธิปไตยตรงกับสมัยรัชกาลที่ 7
      สมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้เปลี่ยนชื่อจากสยาม มาเป็นประเทศไทย แต่ประเทศก็ประสบกับปัญหาล้มลุกคลุกคลานทั้งในด้านการเมืองภายใน และจากภายนอกอันเนื่องมาจากสงครามโลก แต่ประเทศก็ยังรักษาเอกราชเอาไว้ได้อีกครั้ง
      ประเทศไทยในยุคปัจจุบันได้ขยายตัวและพัฒนาไปสู่ความเป็นตะวันตกอย่างรวดเร็วในทุก ๆ ด้าน เป็นเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่อุดมไปด้วยทรัยกรธรรมชาติและแฝงไว้ด้วยวัฒนธรรม สถาปัตยกรรม วิถีชีวิตของประชาชน ที่เป็นเอกลักษณ์ที่มีเสน่ห์เฉพาะตัวไม่เหมือนที่ใด จนกลายเป็นประเทศที่คนทั่วโลกต่างต้องการมาสัมผัส ค้นหา และชื่นชมให้ได้อย่างน้อยครั้งหนึ่งในชีวิต



ประวัติความเป็นมาของกาตูน
--------------------------------------------------------------------------------
ทอม กับ เจอรี่ เป็นผลงานการสร้างสรรค์ของ วิลเลี่ยม ฮันน่า กับ โจเซฟ บาร์เบร่า ผู้ให้กำเนิด Hanna Barbera Studio และได้ผ่านมือของผู้กำกับ ผู้อำนวยการสร้าง มากความสามารถหลายต่อหลายคน ก่อนที่แมวหนูคู่นี้จะกำเนิดขึ้นนั้น ขอย้อนกลับไปในช่วงปลายยุค 30 ทั้งฮันน่า กับ บาร์เบร่า ได้เข้าร่วมงานกับ MGM cartoon studio ซึ่งตัวการ์ตูนที่ทั้งสองคนได้คิดค้นนั้น ก็เป็นตัวการ์ตูนแมวกับหนู ในหนังอนิเมชั่นชื่อ Puss Gets the Boot ซึ่งสร้างเสร็จปี 1939 และออกฉายในโรงวันที่ 10 ก.พ.1940 โดยหนังดังกล่าวจะเน้นเรื่องราวของแมวสีเทาที่มีชื่อว่า แจสเปอร์ พยายามที่จะจับหนูตัวนึง จนข้าวของภายในบ้านพัง และเจ้าแจสเปอร์ก็ถูก"คุณแม่ 2 ขา"จับโยนออกนอกบ้านไป....แม้ว่าหนังอนิเมชั่นเรื่องดังกล่าวจะไม่ประสบความ สำเร็จ แต่ก็กลายมาเป็นจุดเริ่มต้นของทอม กับ เจอรี่ ที่เราคุ้นเคยกันในปัจจุบัน
ต่อจากนั้น ฮันน่า กับ บาร์เบร่า ก็ง่วนกับการทำอนิเมชั้นเรื่องสั้นเนื้อหาอื่นๆ จนกระทั่ง โปรดิวเซอร์ เฟรด ควิมบี้ ได้ขอร้องให้ทั้งคู่กลับมาทำอนิเมชั่นเนื้อหาหนูกับแมวอีกครั้ง ซึ่งทั้งคู่ก็ยินดี ฮันน่า กับ บาร์เบร่าจึงได้จัดการประกวดชื่อของตัวการ์ตูนคู่หูหนูแมวคู่ใหม่ของเขาภาย ในสตูดิโอ และก็มีคนเสนอหลายชื่อจนกระทั่ง จอห์น คาร์ อนิเมเตอร์คนหนึ่ง ได้เสนอชื่อ "ทอม" กับ "เจอรี่" ขึ้นมา ซึ่งทั้งคู่ก็ชอบอกชอบใจชื่อนี้มาก ก็เลยกลายเป็นชื่อของตัวการ์ตูนแมวหนูของเขาไปโดยปริยาย และเจ้าทอมกับเจอรี่ได้ปรากฏตัวครั้งแรกกับหนังอนิเมชั่น The Midnight Snack ปี 1941
ในปี 1946 ทอมกับเจอรี่ได้รับรางวัล Academy Award จากหนังอนิเมชั่นชุด The Cat Concerto แม้ว่าเรื่องนี้ยังคงเน้นธีมแมวไล่จับหนูอยู่เหมือนเดิม แต่ ฮันน่า กับ บาร์เบร่า ได้พัฒนาพล็อตเรื่องให้มีความหลากหลาย ไม่รู้จบ ทำให้ทอมกับเจอรี่กลายเป็นการ์ตูนที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดของ MGM ซึ่งซีรี่ย์ทอมกับเจอรี่ รวมถึง Puss Gets the Boot ได้เข้าชิง Academy Award ถึง 13 รางวัล และคว้ามาได้ถึง 7 รางวัลด้วยกัน มากกว่าตัวการ์ตูนตัวอื่นๆเสียอีก..... ทว่าในช่วงที่ทอมกับเจอรี่กำลังได้รับความนิยมสูงอยู่นั้นเอง สื่อโทรทัศน์เริ่มได้รับความนิยมมากขึ้น จนมีผลกระทบต่อบริษัทหนังต่างๆ ซึ่งรวมไปถึง MGM ที่มีปัญหาเรื่องการเงินจนปิดตัวในปี 1957 ถัดจากนั้น 1 ปี ฮันน่า กับ บาร์เบร่า ได้ก่อตั้งสตูดิโอของตนเอง เพื่อผลิตผลงานภาพยนตร์ และ รายการโทรทัศน์ ซึ่งต่อมาก็ได้หยิบเอาทอม กับ เจอรี่ กลายเป็นอนิเมชั่นบนหน้าจอโทรทัศน์จวบจนถึงปัจจุบัน
หลังจากการปิดตัวของ MGM ทอม กับ เจอรี่ ก็ถูกบรรดาโปรดิวเซอร์อย่าง จีน ไดทช์ แห่ง Rembrandt Films และ ชัค โจนส์ นำไปทำใหม่ จนกระทั่งกลางยุค 60 ทอมกับเจอรี่ ถูกนำไปฉายทางโทรทัศน์
ลักษณะการดีไซน์ตัวละคร ทอมจะมีการเปลี่ยนแปลงรูปลักษณะไปเรื่อยๆ จากที่ช่วงแรกๆ จะมีลักษณะเป็นแมวขนดก หน้ากลมบ๊อก จนกระทั่งปลายยุค 40 ทอมมีลักษณะกลายเป็นแมวที่ลดทอนรายละเอียดลง และเคลื่อนไหวด้วย 2 เท้าจนถึงทุกวันนี้ ซึ่งผิดกับเจอรี่ ที่แทบจะไม่เปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์เลย โดยในช่วงกลางยุค40 มีการเสริมความตื่นเต้นของเนื้อเรื่อง ไปพร้อมๆกับความรุนแรงที่แฝงมากับเนื้อเรื่องมากขึ้น

   
      ทายสัตว์
  1. โคอาลา (Koala) สำหรับเจ้าสัตว์ป่าน่ารัก ๆ ตัวนี้ ถือเป็นสิ่งมีชีวิตที่นอนเก่งเอามาก ๆ โดยโคอาล่าจะใช้เวลานอนเกือบ 22 ชั่วโมงต่อวัน และจะตื่นขึ้นมาเพียง 2 ชั่วโมงต่อวัน เพื่อกินอาหาร หรือทำกิจกรรมต่าง ๆ โคอาลามักถูกพบในพื้นที่ชายฝั่งทะเลของออสเตรเลีย และแทสเมเนีย โดยโคอาลาตัวเมียที่มีสุขภาพดีมาก ๆ จะสามารถออกลูกได้ 1 ตัวต่อปี ในตลอดช่วงเวลา 12 ปี ทั้งนี้ โคอาลาจะกินใบยูคาลิปตัสเป็นอาหาร

 สลอธ (Sloth) สำหรับเจ้าตัวนี้ หลายคนมักเรียกว่า ตัวเฉื่อยชา เพราะนอกจากจะเคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้าแล้ว สลอธยังนอนนานถึง 20 ชั่วโมงต่อวัน ทั้งนี้ สลอธเป็นหนึ่งในสิ่งมีชีวิตเลี้ยงลูกด้วยนมขนาดกลางที่กินแมลง สัตว์เลื้อยคลานขนาดเล็ก และนก เป็นอาหาร แต่ส่วนใหญ่สลอธจะนิยมกินใบอ่อน หรือยอดอ่อนของพืช เสียมากกว่า ส่วนถิ่นที่อยู่อาศัยนั้น คือ ป่าดิบชื้นของอเมริกากลาง และอเมริกาใต้

ตัวนิ่ม (Armadillo) สำหรับเจ้าสิ่งมีชีวิตหน้าตาคล้าย ๆ หนู แต่มีเปลือกแข็งเป็นเกราะป้องกันตัวนี้ ถือเป็นสัตว์อีกชนิดที่มีช่วงระยะเวลาในการนอนยาวนานกว่าสัตว์ทั่ว ๆ ไป โดยตัวนิ่มจะใช้เวลานอนถึง 19 ชั่วโมงต่อวันเลยทีเดียว ทั้งนี้ เรามักพบตัวนิ่มในรัฐต่าง ๆ ของประเทศสหรัฐอเมริกา อาทิ เทกซัส เซาท์แคโรไลนา และฟลอริดา

โอพอสซัม (Opossum) เป็นสัตว์กินพืช และแมลงเล็ก ๆ ที่มีกระเป๋าหน้าท้องไว้เลี้ยงลูกเหมือนจิงโจ้ โอพอสซัมจะใช้เวลานอนนานพอ ๆ กับตัวนิ่ม คือ 19 ชั่วโมงต่อวัน ซึ่งหมายความว่า โอพอสซัม จะตื่นขึ้นมาเพียง 5 ชั่วโมงต่อวันเท่านั้น 

ลีเมอร์ (Lemur) สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม มีรูปร่างทั่วไปคล้ายกับลิง แต่ส่วนของศีรษะคล้ายสุนัขจิ้งจอก มีดวงตากลมโต ขนหนาฟู มีหางยาวเป็นพวงเหมือนกระรอก สำหรับเจ้าลีเมอร์นี้จะใช้เวลานอนราว 16 ชั่วโมงต่อวัน โดยพบมากในมาดากัสการ์ ส่วนใหญ่จะอาศัยอยู่บนต้นไม้ และกินทั้งเนื้อสัตว์ พืชผักและผลไม้เป็นอาหาร

 แฮมสเตอร์ (Hamster) เป็นสัตว์อีกชนิดหนึ่งที่จัดว่านอนนานที่สุด โดยจะใช้เวลานอนประมาณ 14 ชั่วโมงต่อวัน แฮมสเตอร์เป็นสัตว์ที่มีถิ่นอาศัยในทุกส่วนของโลก และคนส่วนใหญ่ยังนิยมเลี้ยงแฮมสเตอร์เป็นสัตว์เลี้ยง เนื่องจากเป็นสัตว์ขนาดเล็ก และมีหน้าตาน่ารักนั่นเอง

กระรอก (Squirrel) เจ้าสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ น่ารักนี้ ใช้เวลานอนยาวนานอย่างไม่น่าเชื่อ ทั้งที่ปกติเรามักจะเห็นกระรอกปีนป่ายต้นไม้ไปมาอย่างคึกคัก แต่แท้จริงแล้วกระรอกใช้เวลานอนถึง 14 ชั่วโมงต่อวัน กระรอกเป็นสัตว์ที่มีถิ่นอาศัยในทุกส่วนของโลก และในปัจจุบันยังมีผู้ที่นิยมเลี้ยงกระรอกเป็นสัตว์เลี้ยงอีกเป็นจำนวนมาก

แมว (Cat) สัตว์เลี้ยงสุดฮิตที่นิยมกันทั่วทุกมุมโลก ไม่น่าเชื่อว่าแมวจะติดโผรายชื่อนี้กับเขาด้วยเช่นกัน โดยพบว่าแมวจะใช้เวลานอนถึง 13 ชั่วโมงต่อวันเลยทีเดียว

หมู (Pig) คนส่วนใหญ่มักจะเห็นแต่ภาพหมูกินอาหาร เพราะหมูได้ขึ้นชื่อว่าเป็นสัตว์ที่กินจุมาก แต่รู้กันไหมเอ่ย ว่าหมูใช้เวลานอนถึง 13 ชั่วโมงต่อวัน เทียบเท่ากับแมวเลยทีเดียว

 ตัวกินมดหนาม (Spiny Anteate) หรืออีกชื่อหนึ่งคือ เออคิดนา (Echidna) ตัวกินมดหนามมีรูปร่างคล้ายกับเม่นตัวเล็ก ๆ มีขนหยาบ และขนหนาม ในบ้านเราอาจจะไม่ค่อยคุ้นหูคุ้นตากับเจ้าสัตว์ชนิดนี้กันเท่าใดนัก ตัวกินมดหนามมีถิ่นที่อยู่อาศัยในเกาะนิวกินี และประเทศออสเตรเลีย พวกมันจะใช้เวลานอนประมาณ 12 ชั่วโมงต่อวัน จึงติดโผสัตว์ที่ใช้เวลานอนนานที่สุดของโลกนั่นเอง

แอปเปิ้ล - คุณเป็นคนอดทน สู้งาน และมีความรับผิดชอบสูง เมื่อไรก็ตามคุณได้รับมอบหมายงานชิ้นหนึ่งชิ้นใด คุณมักจะทำอย่างสุดความสามารถ ไม่ว่าจะยากลำบากมากแค่ไหน แต่สำหรับเรื่องความรักแล้วกลับตรงกันข้าม คุณเป็นคนที่รักง่าย หน่ายเร็ว ไม่ค่อยอดทนในเรื่องรัก
องุ่น - ไม่บ่อยนักที่คุณจะเปิดเผยความรู้สึกที่แท้จริงของคุณ แก่คนที่คุณเพิ่งรู้จักครั้งแรก ดังนั้นคุณจะดูไม่น่าสนใจนัก สำหรับคนที่ไม่รู้จักคุณดี แต่ถ้าเป็นเพื่อน ๆ ในกลุ่มของคุณล่ะก็ คุณนับเป็นดาวเด่นเลยล่ะ
กล้วย - คุณเป็นคนขี้ใจน้อย ขี้งอน แต่ไม่ค่อยแสดงออก ภายนอกดูจะเป็นคนเงียบขรึม เข้มแข็ง แต่ภายในแล้วคุณอารมณ์คุณช่างอ่อนไวเหลือเกิน จะเรียกแข็งนอกอ่อนในก็ว่าได้
แตงโม - คุณมีความตื่นตัวกระฉับกระเฉงตลอดเวลา ไม่ปล่อยเวลาให้เสียไปอย่างไร้ค่า คุณมักจะมองโลกในแง่ดี และไม่ค่อยกังวลเกี่ยวกับ ปัญหาต่าง ๆ ที่ถาโถมเข้ามา เนื่องจากคุณมั่นใจว่าปัญหาทุกปัญหาย่อมมีทางแก้ เมื่อถึงเวลาที่ควร
ชมพู่ - คุณเป็นคนที่มีน้ำอดน้ำทนสูง ไม่ชอบขัดใจคนอื่น รักเพื่อนมากกว่าตัวเอง และค่อนข้างที่จะมองโลกในแง่ร้าย
ส้ม - คุณเป็นคนที่เข้ากับคนได้ง่าย ร่าเริงสนุกสนาน ใครชวนไปไหนก็ไป เชื่อคนง่าย รู้เรื่องคนอื่นไปซะหมด แต่เรื่องตัวเองไม่ค่อยรู้
มังคุด - คุณเป็นคนช่างฝัน อารมณ์อ่อนไหว โรแมนติก ตกหลุมรักได้บ่อย ๆ ไม่มีเบื่อ เห็นใครถูกใจก็เก็บเอาไปฝัน แต่ไม่นานก็ลืม พอเจอคนใหม่ก็เป็นอีก เพลงเป็นอย่างนี้ตั้งแต่เกิดเลย ของนูโว ดูจะเหมาะกับคุณนัก
มะม่วง - คุณเป็นคนชอบความท้าทาย มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ชอบทดลองสิ่งใหม่ ๆ อยู่เสมอ กับเรื่องความรักก็ไม่เว้น คุณชอบหารักใหม่ ๆ เสมอ หรือเรียกอีกอย่างว่าเจ้าชู้นั่นเอง
สตรอเบอรี่ - คุณรักความสบาย ชอบอยู่อย่างหรูหราฟู่ฟ่า ทุกสิ่งที่อยู่รอบตัวต้องสวย เฉียบ เนียบ เสมอ จัดว่าคุณมีรสนิยมในการแต่งกายไม่ใช่เล่น คุณเป็นคนมองโลกในแง่ดี ชอบเข้าสังคม คุยสนุก และมีอารมณ์ขัน ทำให้เพื่อนในวงสนทนาหัวเราะได้ตลอดเวลา
สับปะรด - คุณเป็นคนที่ช่างเอาอกเอาใจคน คอยเป็นห่วงเป็นใยเพื่อนของคุณตลอดเวลา หากใครมีเรื่องทุกข์ร้อนขอให้บอก คุณยินดีช่วยเสมอ
ลูกแพร - คุณเป็นคนสุภาพ อ่อนโยน ใจดี และมักจะมองคนที่อยู่รอบข้างคุณในแง่ดีเสมอ ไม่เคยคิดร้ายกับใคร จึงทำให้เป็นที่เคารพ รักใคร่ของผู้คนที่ได้รู้จัก
เงาะ - คุณเป็นคนขี้เล่น อยู่ไม่ค่อยเป็นสุข ชอบแหย่คนโน้นคนนี้ที หากอยู่ในวงสนทนา คุณก็มักจะเป็นตัวโจ๊กประจำวง คอยปล่อยมุขเด็ด ๆ ให้ได้เฮกัน
ทุเรียน - คุณเป็นคนที่มี 2 บุคลิกในตัวเอง อยู่นอกบ้านใคร ๆ ก็มักจะกลัวคุณ แต่เมื่อกลับถึงบ้าน คุณจะกลายเป็นคุณหนูในทันที คุณเป็นคนใจกว้าง เอื้อเฟื้อ ใครมีปัญหามักจะมาขอให้คุณช่วยเสมอ และมักจะเป็นผู้นำในการทำกิจกรรมของกลุ่มเพื่อน
มะพร้าว - คุณออกจะเป็นคนเจ้าสำอาง ไม่ชอบการใช้กำลัง และการทำงานหนัก ไม่ชอบทำงานกลางแจ้ง คุณเหมาะกับงานในออฟฟิศมากกว่า ข้อดีของคุณคือ คุณเป็นคนใจเย็น ประณีต งานที่ใช้ฝีมือน่ะต้องยกให้คุณเลย
ฝรั่ง - คุณเป็นคนที่ค่อนข้างสมบุกสมบัน ลุยไหนลุยกัน ชอบท่องเที่ยวสูดกลิ่นไอธรรมชาติ เป็นคนรักเดียวใจเดียว มั่นคง แต่มักจะโดนหักอกอยู่บ่อย ๆ



  ชอบสีฟ้า

คนที่ชอบสีฟ้า เป็นคนที่ชอบทำอารมณ์โรแมนติก รักเดียวใจเดียว และก็โกรธง่ายหายเร็ว เป็นคนรักความสงบ มองโลกในแง่ดี น่าเชื่อถือ ดูจากภายนอกจะเป็นคนสุขุม แต่ภายในแล้วกลับเป็นคนที่มีจิตใจหวั่นไหวง่าย อ่อนแอ มีเรื่องมากระทบจิตใจนิดหน่อยก็ทำให้รู้สึกเป็นทุกข์


ทะเลตราด ได้ชื่อว่าเป็นทะเลที่งดงามไปด้วยหมู่เกาะน้อยใหญ่เรียงรายท่ามกลางพื้นน้ำของทะเลอ่าวไทยฝั่งตะวันออก โดยมีเกาะช้างเป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุด และใหญ่เป็นอันดับ 2 ของประเทศ มีเกาะกูด ที่ได้รับสมญานามว่า “อัญมณีแห่งอ่าวไทย” หมู่เกาะทางฝั่งทะเลตราดถือได้ว่าเป็นทะเลที่น่าเที่ยวมาก เพราะน้ำทะเลสวยใส หาดทรายขาวบริสุทธิ์ มีความเป็นธรรมชาติค่อนข้างสูง ร่มรื่นไปด้วยต้นมะพร้าว โอบล้อมด้วยทิวเขา และที่โดดเด่นที่สุดก็คือ เวลาเรานอนเล่นที่ชายหาดของทะเลตราด “เราจะไม่รู้สึกเหนียวตัว” เพราะความชื้นสูงจากต้นไม้ไปกดไอทะเลเอาไว้ ทำให้เรารู้สึกสดชื่นตลอดเวลา  ทะเลตราดจึงเหมาะกับการพาตัวเองมาชาร์ตแบตให้หายจากความอ่อนล้าในการทำงานยิ่งนัก

เกาะช้าง
เกาะช้าง ใหญ่สมชื่อเพราะเป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดในอ่าวไทย และใหญ่เป็นอันดับ 2 ของประเทศไทยรองจากเกาะภูเก็ต  เกาะนี้มีภูมิทัศน์ที่หลากหลายทั้งในส่วนของทะเล ภูเขา น้ำตก และป่าชายเลนอันอุดสมบูรณ์  ชายหาดที่มีอยู่มากมายของเกาะช้างอยู่เลียบไปตามชายฝั่งตะวันตก ไม่ว่าจะเป็น หาดทรายขาว หาดคลองพร้าว หาดไก่แบ้  โลนลี่บีช หาดท่าน้ำ อ่าวใบลาน อ่าวบางเบ้า หาดคลองกลอย ส่วนฝั่งตะวันออกจะเป็นพื้นที่ของชุมชนชาวสวนผลไม้และชาวประมง หากกล่าวถึงความสวยใสของน้ำทะเลและหาดทรายที่เกาะช้างนั้น อาจสวยไม่เท่ากับเกาะอื่นในทะเลตราด แต่หากพูดถึงความเพรียบพร้อม ความสะดวกสบายของที่พักรวมถึงสิ่งอำนวยความสะดวก และกิจกรรมท่องเที่ยวต่างๆ บนเกาะแล้วล่ะก็  เกาะช้างจะเป็นตัวเลือกแรกสำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการมาเที่ยวทะเลตราดเลยทีเดียว
เกาะกูด
เกาะกูด มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองในทะเลตราดรองจากเกาะช้าง เป็นเกาะสุดท้ายในน่านน้ำทะเลตราด ที่สามารถนั่งเรือไปเพียง 1 ชั่วโมงเท่านั้น และด้วยความสวยของน้ำทะเลสีมรกตบนชายหาดนี้เอง จึงทำให้เกาะกูดได้รับการขนานนามว่าเป็น “อัญมณีทะเลตะวันออก” สำหรับชายหาดที่ต้องไปแวะเก็บภาพดงมะพร้าวเรียงราย ประกอบด้วย อ่าวคลองยายกี๋ อ่าวตะเภา หาดคลองเจ้า อ่าวง่ามโข่ อ่าวบางเบ้า หาดตะเคียน หาดคลองหิน อ่าวจาก และอ่าวพร้าว ซึ่งทุกหาด มีทะเลน้ำใสน่าแหวกว่ายดูปลาชมปะการัง อีกทั้งยังคงสภาพความเป็นธรรมชาติไว้ได้ดีทีเดียว มีภูเขาและที่ราบสันเขา ร่มรื่นไปด้วยทิวมะพร้าวริมหาด และป่าชายเลนที่อุดมสมบูรณ์ นอกจากนี้ บนเกาะกูดยังมีที่เที่ยวให้โต๋เต๋หลายที่อีกด้วย แต่ที่ต้องไปก็คือ น้ำตกคลองเจ้า ต้นไม้ยักษ์ เขาเรือรบ จุดชมวิวบ้านอ่าวใหญ่ ธรรมชาติอันเงียบสงบของเกาะกูด จึงเหมาะสำหรับผู้ที่ชอบเที่ยวและพักผ่อนท่ามกลางธรรมชาติอย่างแท้จริง

เกาะหมาก
เกาะหมากดินแดนต้องมนต์ ที่ใครได้มาถึงต้องถูกสะกดด้วยความสงบ สวยงามและเรียบง่ายที่ยังคงวิถีชาวบ้านแบบดั้งเดิมไว้ เกาะหมากวันนี้ ได้กำหนดให้ตัวเองมีภาพลักษณ์ในด้านการเป็นเกาะที่มีการจัดการสิ่งแวดล้อม Low Carbon Destination เพื่อเป้าหมายในการคงความยั่งยืนของทรัพยากรธรรมชาติ โดยใช้การจัดการสิ่งแวดล้อมมาเป็นตัวจับแนวทางในด้านการท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นการใช้พลังงานไฟฟ้าจากโซล่าเซล การคัดแยกขยะเพื่อการกำจัดอย่างยั่งยืน การใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพ การเชื่อมโยงวิถีชีวิตชุมชนกับการท่องเที่ยว มีการใช้วัตถุดิบบนเกาะมาเป็นเมนูอาหาร เช่น การใช้ปลาทะเลที่หาได้จากเรือประมงของชาวบ้าน แทนการนั่งเรือออกไปซื้อปลายอดนิยมจากบนฝั่งมาขายให้นักท่องเที่ยว มีการปลูกผักสลัด ผักสวนครัว ไว้รับประทานเองด้วย นอกจากบรรยากาศชายหาดของเกาะหมากแล้ว กิจกรรมการปั่นจักรยานบนเกาะแห่งนี้ ถือได้ว่าไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง เพราะเส้นทางที่ไม่ยากนัก จะพาลัดเลาะไปตามชุมชน ร้านค้า ชายหาด ป่าเขาน้อยใหญ่ ผ่านสวนมะพร้าว สลับเนิน ซึ่งจะสร้างความสนุกสนานให้เกิดขึ้นภายในครอบครัวและเพื่อนฝูงได้เป็นอย่างดี
 เกาะขาม
เกาะขาม ไข่มุกมรกตแห่งทะเลตราด เกาะขาม เป็นเกาะส่วนตัวเล็กๆ ตั้งอยู่ใกล้กับเกาะหมาก ลักษณะเด่นของเกาะขาม คือ มีธรรมชาติค่อนข้างสมบูรณ์ หาดทรายขาวและสันทรายทอดยาวออกไปในทะเลประมาณ 300  เมตร  และมีกองหินภูเขาไฟขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติตั้งเรียงรายกับแนวปะการังหลากชนิด เกาะขามเป็นเกาะที่นั่งเรือข้ามมาเที่ยวได้อย่างสะดวก โดยใช้เวลาเพียงไม่ถึง 15 นาทีจากอ่าวสวนใหญ่ เกาะหมาก  เราก็จะได้พบกับน้ำทะเลสีฟ้าใส นิ่งสงบ และหาดทรายสีขาวละเอียดราวกับแป้งฝุ่น  ถึงแม้เกาะขามเป็นเกาะเล็กๆ แต่มีธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่ไม่แพ้เกาะอื่นในทะเลตราดเลยทีเดียว






ประวัติ เกาะช้าง

สำหรับ อุทยานแห่งชาติหมู่ เกาะช้าง หรือที่นิยมเรียกกันจนติดปากว่า เกาะช้าง นั้นตั้งอยู่ในเขตแหลมงอบ จังหวัดตราด และเป็นจังหวัดชายแดนภูมิภาคตะวันออกของประเทศไทย โดยเกาะช้างนับว่าเป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 1 ในทะเลอ่าวไทย และเป็นเกาะที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ในประเทศรองลงมาจากเกาะภูเก็ต มีพื้นที่รวม 268,125 ไร่ จากลักษณะการเรียงตัวกันของบรรดาหมู่เกาะน้อยใหญ่รวมกว่า 52 เกาะ มีลักษณะคล้ายกับรูปโขลงช้างเดินเรียงตัวกัน จึงเป็นสาเหตุให้เรียกหมู่เกาะแห่งนี้ว่า เกาะช้าง โดยลักษณะส่วนใหญ่ของเกาะช้างมีภูมิประเทศที่เป็นเขาสูง มีผาหินสลับซับซ้อน มียอดเขาที่สูงที่สุด คือ ยอดเขาสลักเพชร อีกทั้ง เกาะช้าง ยังมีสภาพป่าอันอุดมสมบูรณ์ และเนื่องจากพื้นที่ส่วนใหญ่ของเกาะเป็นป่าดิบเขาทำให้เกิดเป็นน้ำตกหลายสาย
โดยในช่วงฤดูที่เป็นต้นฝนปลายร้อนแบบนี้ อากาศก็เหมาะเป็นอย่างมากในการเดินทางไปตากลมชมวิวไกลสุดลูกหูลูกตาที่ทะเล ซึมซับบรรยากาศดีๆ ผ่อนคลายสมองด้วยการมองดูน้ำทะเลใสๆ รับลมทะเลกันสักหน่อยก็น่าจะฟินไม่น้อยอยู่เหมือนกัน สนุก! ท่องเที่ยว เลยขอแนะนำ “ เกาะช้าง ” สถานที่ปล่อยตัวปล่อยใจไปกับความสุขที่จะทำให้คุณสุขใจสุดๆ ที่ได้มา
ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถเดินทางมายัง เกาะช้าง ได้ตลอดทั้งปี แต่ช่วงที่ถือว่าเป็นฤดูการท่องเที่ยวของที่นี่คงหนีไม่พ้นช่วงหน้าร้อน โดยสำหรับที่นี่แล้วถึงแม้ว่าจะเป็นฤดูร้อนแต่อากาศบนเกาะจะไม่ร้อนมาก เพราะพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นป่าดิบชื้น มีภูเขาสูง เป็นแหล่งกำเนิดของต้นน้ำลำธารหลายสาย รวมถึงน้ำตกต่างๆ ที่อยู่บนเกาะ ส่วนพื้นที่ราบบริเวณเชิงเขาจะเป็นพื้นที่สำหรับการปลูกยางพาราและผลไม้ของชาวบ้านที่อาศัยอยู่บนเกาะ อาทิ สับปะรด แตงโม ทุเรียน เป็นต้น อีกทั้งยังมี 8 หมู่บ้าน ได้แแก่ สลักเพชร สลักคอก เจ้กแบ้ บ้านด่านใหม่ คลองสน คลองพร้าว คลองนนทรี และบ้านบางเบ้า มีสถาที่ราชการ อำเภอ สถานีตำรวจ โรงพยาบาล และเป็นที่ตั้งอุทยานฯหมู่ เกาะช้าง พื้นที่บางส่วนก็ยังเป็นสถานที่พักแรม ร้านอาหาร ตลอดจนสถานบันเทิงต่างๆ ไว้คอยให้บริการนักท่องเที่ยวที่มาเยือนอีกด้วย
การมาเที่ยวที่ เกาะช้าง มีกิจกรรมให้เลือกหลากหลายแล้วแต่ความชอบจะเป็นว่ายน้ำเล่นที่ชายหาด เที่ยวน้ำตก ปีนเขา เดินป่า ขี่ช้าง ท่องเที่ยวเชิงเกษตร ล่องเรือ ตกปลา ไดหมึก หรือจะไปดำน้ำดูปะการังท่ามกลางฝูงปลาน้อยใหญ่สีสันสวยงามแปลกตาตามหมู่เกาะรังหรือเกาะหวาย ที่นี่น้ำทะเลสวยใสมากทำให้เห็นปลาและปะการังได้อย่างชัดเจน เพียงแค่นำเรือมาจอดตรงจุดดำน้ำเหล่าปลาสลิดหินลายก็ออกมาต้อนรับกันอย่างคับคั่งสามารถมองเห็นได้แม้อยู่บนเรือเป็นภาพที่สร้างความประทับใจให้สำหรับแขกผู้มาเยือนเป็นอย่างมาก และเมื่อได้ดำน้ำลงไปก็สามารถเห็นปลาอีกหลากหลายชนิด เช่น ปลานกแก้ว ปลาปักเป้าลูกไก่ ปลาการ์ตูนอินเดียแดง ดอกไม้ทะเล หอยเม่น ปลิงทะเล ฯลฯ ดูเหมือนว่าเรากำลังว่ายน้ำอยู่ในตู้ปลาขนาดใหญ่

การเดินทางไปเกาะช้าง

มาที่จังหวัดตราดนั้นประมาณ 300 กว่ากิโลเมตร ใช้เวลาในการเดินทางพอสมควร ระหว่างทางนักท่องเที่ยวสามารถแวะพักดื่มกาแฟที่ร้านหลวงปู่กาแฟสด L.P Coffee ร้านสวยบรรยากาศดี มีเครื่องดื่มให้เลือกหลากหลายเมนู อยู่ระหว่างทางจากระยองมุ่งสู่จังหวัดจันทบุรี ร้านอยู่ติดทางหลวงหมายเลข 3 ฝั่งตรงข้ามทางแยกเข้าร้านตำนานป่า มีป้ายบอกชื่อร้านอย่างเด่นชัด เมื่อพักหายเหนื่อยแล้วก็ขับรถมุ่งตรงมายังจังหวัดตราด มาที่แหลมงอบ ที่นี่มีท่าเรือเฟอร์รี่ให้ลงได้ 2 จุด คือ ท่าเรือ เกาะช้าง เฟอร์รี่อ่าวธรรมชาติและท่าเรือเซ็นเตอร์พอยท์เฟอร์รี่ สามารถนำรถยนต์ส่วนบุคคลข้ามไปได้ ถนนบนเกาะลาดยางสะดวกสบาย แต่มีเพียงบางช่วงที่ทางค่อนข้างลาดชันจึงควรขับรถด้วยความระมัดระวัง ที่สำคัญบนเกาะนี้มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน
         
                         การใช้ชีวิตประจำวัน
การพูดมีความสำคัญต่อการดำเนินชีวิตประจำวันของคนเราทุกคนเป็นอย่างมาก เพราะการพูดคือรูปแบบของการสื่อสารที่ง่ายและทำความเข้าใจได้ชัดเจน มากกว่าการเขียน ไม่ว่าจะเป็นการสนทนากันระหว่างบุคคล การพูดต่อหน้าที่สาธารณะชน การพูดโดยผ่านเครื่องมือต่างๆเช่น โทรศัพท์ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่สามารถพูดสื่อสารกันได้ ฯลฯ
 การพัฒนาการพูดจึงมีความสำคัญต่อการดำเนินชีวิตไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการทำงาน เรื่องของมนุษย์สัมพันธ์ ย่อมจะต้องใช้การสื่อสารทางการพูดทั้งสิ้น พวกเราคงไม่ปฏิเสธว่า คนที่มีความสามารถพูดเป็นที่ประทับใจของผู้ฟังมักจะได้รับความเคารพและศรัทธาจากคนฟัง  พวกเราคงไม่ปฏิเสธว่า คนที่คุยสนุกสนานในกลุ่มสนทนามักจะมีคนชอบคุยด้วยมากกว่าคนที่เงียบขรึม พวกเราคงไม่ปฏิเสธว่าคนที่พูดแล้วสามารถชักจูงใจคนได้มักจะมีโอกาสเป็นผู้นำมากกว่าคนที่ไม่มีความสามารถในด้านนี้
 ดังการพัฒนาทักษะการพูดจึงมีความสำคัญเป็นอย่างมากโดยเฉพาะการพูดที่ใช้ในชีวิตประจำวัน อาจจะต้องมีการเรียนรู้พัฒนาทักษะด้านนี้ในมากขึ้น อาจจะหาเทคนิคต่างๆที่พูดแล้วคนชื่นชอบ ดังเช่น
- การจดจำชื่อของคนก็เป็นสิ่งสำคัญในการพูด เมื่อเราจำชื่ออีกฝ่ายหนึ่งได้ เราก็จะสามารถสร้างความ
ประทับใจอีกฝ่ายหนึ่งได้ในระดับหนึ่ง
- การกล่าวขอโทษ ขอบคุณ และสวัสดี เป็นสิ่งที่สมควรทำในสังคมไทย เพราะการกล่าวคำพูดเหล่านี้ ไม่ต้อง
ลงทุนด้วยเงิน ไม่เสียเงิน แต่ในทางกลับกันเรามักได้รับการชื่นชอบจากอีกฝ่ายมากขึ้น ขอโทษ ขอบคุณ และสวัสดี จึงเป็นคำพูดที่มีเสน่ห์เป็นอย่างยิ่ง
- รู้จักชมคนอื่นๆบ้าง การชมคนอื่นๆ ในขณะที่เขาทำความดี จะทำให้ผู้รับเกิดความภาคภูมิใจ อีกทั้งตัวเราเอง
ผู้ชมก็จะเกิดความคิดในแง่ดีหรือความคิดในเชิงบวก ก็จะทำให้ชีวิตเราพบในสิ่งที่ดีมากยิ่งขึ้น การรู้จักชมหรือรู้จังหวะในการชมเป็นสิ่งสำคัญ การชมจะทำให้เขารู้สึกดีกับเราอยากพูดคุยกับเรา แต่ตรงกันข้าม หากว่าเราพูดจาดูถูกผู้อื่นหรือพูดจาไม่ดีกับเขา เขาก็คงไม่อยากพูดจากับเรา แต่ข้อควรระวังในการชมคือ ไม่ควรพูดจายกย่อง ชม อีกฝ่ายจนโอเวอร์หรือเกินความเป็นจริงมากเกินไป เพราะจะทำให้อีกฝ่ายคิดว่าเราไม่มีความจริงใจ
- ต้องรู้จักจังหวะในการพูดคุย การพูดที่ดี ไม่ใช่ว่าเราจะเป็นฝ่ายพูดจนไม่หยุดแล้วอีกฝ่ายหนึ่งเป็นฝ่ายฟัง
ตลอดของการสนทนา ตรงกันข้าม หลักการพูดสนทนาที่ดีควรเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายได้พูดมากกว่าเรา และเราควรเป็นนักฟังที่ดี อีกทั้งไม่ควรพูดนินทาผู้อื่น การพูดคุยกันมีเรื่องให้พูดคุยกันตั้งเยอะแยะ แต่ธรรมชาติของมนุษย์เรา มักชอบนินทาผู้อื่น พอพูดไปสักพักก็มักจะมีการนินทาผู้อื่นในวงสนทนา ฉะนั้น หากต้องการเป็นที่ประทับใจของผู้ฟัง ควรงดการนินทาว่าร้ายผู้อื่น การงดการนินทาผู้อื่นจะทำให้มีคนอยากคบเราเป็นเพื่อนมากขึ้น อีกทั้งเป็นการชำระล้างจิตใจของเราให้สะอาดผ่องใส่ขึ้นด้วย
- ควรทักผู้อื่นก่อนแล้วหัดพูดคำพูดในเชิงบวกหรือประโยคดีๆให้มากขึ้น เช่น สบายดีไหมครับ ลูกๆเป็น
อย่างไรบ้าง  ตัดผมทรงนี้ดูดีจัง สวยจัง ใส่ชุดนี้แล้วดูดีจังเลยครับ โอ้เก่งจังครับลูกชายของคุณเนี่ย ฯลฯ
- ควรงดเว้นหรือระวังคำพูดที่ไม่ดี ออกจากปาก เช่น ผมเก่งกว่าคุณอีก คุณใส่ชุดนี้ดูแย่จัง เรื่องง่ายๆขนาดนี้
ยังทำไม่ได้อีกหรือ คุณดูไม่ค่อยสบายเหมือนจะเป็นโรคหรือเปล่าเนี่ย ฯลฯ
- ควรหลีกเลี่ยง หัวข้อสนทนา ที่ทำให้เกิดความขัดแย้งกัน เช่น เรื่องของศาสนา เรื่องของความเชื่อ เรื่องของ
สถาบันพระมหากษัตริย์ เรื่องของการเมือง ฯลฯ ซึ่งการสนทนากันในหัวข้อเหล่านี้ มักจะก่อให้เกิดความคิดเห็นที่แตกแยกขึ้นได้ เนื่องจากความคิด ความเชื่อของคนเรา มีความแตกต่างกันไป การจะจูงใจให้คู่สนทนาเชื่อตามจึงเป็นไปได้ยาก
  ฉะนั้นการพูดในชีวิตประจำวัน จึงเป็นสิ่งที่ต้องเรียนรู้ ศึกษากัน เราตื่นขึ้นมา เราก็มีความจำเป็นที่จะต้องพูดคุยกันแล้ว ไม่ว่ากับคนในครอบครัว เพื่อนที่ทำงาน การออกงานสังคม การพูดในห้องเรียน ฯลฯ คนที่ต้องการประสบความสำเร็จในชีวิต ในหน้าที่การงาน จึงควรศึกษา เรียนรู้ เพิ่มเติมในแง่มุมเกี่ยวกับการพูด เพื่อที่จะนำไปปรับใช้ได้อย่างเหมาะสมกับการดำรงชีวิต

Wednesday, February 15, 2017




นิทานพื้นบ้าน
ตำนานของแหลมงอบตำนานแรก ได้เล่าว่า มีหญิงชราคนหนึ่ง ชื่อ ยายม่อม มีคอกควายอยู่ที่สลักคอก วันหนึ่งควายของยายม่อมได้หายไป ยายม่อมจึงออกตามหาควาย และได้จมน้ำทะเลตายกลายเป็นโขดหินชื่อ ยายม่อม ส่วนงอบของยายม่อมกลายเป็นแหลมงอบ ควายของยายม่อมกลายเป็นโขดหินเล็ก ๆ เช่นกัน ส่วนตำนานของเกาะช้างตำนานแรก เล่าว่า เดิมเกาะนี้มีเสืออยู่ ในสมัยรัชกาลที่ 4 มีชาวญวนคนหนึ่งชื่อ องค์โด้ ได้ทำพิธีขว้างก้อนหินลงไปในทะเลและสาบว่า ถ้าหินนี้ไม่ผุดขึ้นมาให้คนเห็น เกาะช้างจะไม่มีเสืออีกต่อไป เกาะช้างจึงไม่มีเสือมาจนทุกวันนี้ นิทานเรื่องนี้ นายติ้น ที่เป็นคนที่อยู่เกาะช้างได้เล่าถวายพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นหลวง ต้นสกุล สลักเพชรุ้ง นอกจากนี้ยัง มีตำนานแหลมงอบ เกาะช้าง ซึ่งมีผู้เขียนไว้อีกว่า มีความเกี่ยวข้องกับชื่อของหมู่เกาะช้าง ชื่อสถานที่ และเหตุที่เกาะช้างไม่มีช้าง มีอยู่สมัยหนึ่ง พระโพธิสัตว์ได้สร้างตำหนักเลี้ยงช้างอยู่ที่เกาะช้าง มีช้างพลายอยู่เชือกหนึ่งเป็นจ่าโขลง มีชื่อว่า อ้ายเพชร และมีสองตายายคอยเลี้ยงดู ตาชื่อ ตาบ๋าย ยายชื่อ ยายม่อม วันหนึ่ง อ้ายเพชรจ่าโขลงเกิดตกมันเตลิดเข้าในป่า ไปผสมพันธุ์กับนางช้างป่า ตกลูกมา 3 เชือก เมื่อพระโพธิสัตว์รู้เรื่องเข้า จึงได้ทรงสั่งให้ตายายติดตามหาอ้ายเพชร โดยให้ตาไปทางหนึ่ง ยายไปอีกทางหนึ่ง อ้ายเพชรหนีไปจนสุดเกาะด้านเหนือจึงว่ายน้ำมาขึ้นฝั่งซึ่งปัจจุบันนี้เรียกว่า บ้านธรรมชาติ ส่วนลูกทั้งสามที่ตามมาด้วย ว่ายน้ำยังไม่เป็น จึงจมน้ำตายแล้วกลายเป็นหิน 3 กอง อยู่บริเวณอ่าวคลองสน จนชาวบ้านพากันว่า “หินช้างสามลูก” ในขณะที่อ้ายเพชรว่ายน้ำไปถึงกลางร่องทะเลลึก ได้ถ่ายมูลทิ้งไว้กลายเป็นกองหินอยู่ตรงนั้น เรียกว่า “หินขี้ช้าง” ปัจจุบันมีประภาคารบนหินกองนี้ เมื่อสามารถขึ้นฝั่งได้แล้ว อ้ายเพชรได้เดินเลียบไปตามชายฝั่งทิศใต้ ตาบ๋ายเห็นว่าไปไกลแล้วตามไปไม่ทันจึงเดินทางกลับ ปล่อยให้ยายติดตามไปผู้เดียว ยายม่อมตามไปจนทันช้างขึ้นฝั่งแต่ไม่กล้าเข้าไปในป่าเพราะกลัวว่าสัตว์จะทำร้ายเอา ในที่สุดก็ตกลงไปในโคลนไม่สามารถขึ้นมาได้ จนถึงแก่ความตายอยู่ตรงนั้นเอง ร่างกายของแกกลายเป็นหินอยู่ตรงนั้น ชาวบ้านจึงพากันเรียกว่า “หินยายม่อม” ส่วนงอบที่สวมไว้ได้หลุดลอยไปติดอยู่ที่ปลายแหลม และกลายเป็นหิน ชาวบ้านเรียกว่า “แหลมงอบ” ตรงบริเวณที่ตั้งประภาคารในปัจจุบันนี้ ซึ่งเป็นชื่อที่ได้จากงอบของยายม่อมที่ลอยไปติดชายฝั่งนั่นเอง เมื่อพระโพธิสัตว์ทราบว่า อ้ายเพชรมุ่งหน้าไปทางทิศใต้ จึงเข้าใจว่าอ้ายเพชรจะต้องไปที่เกาะอีก จึงเกณฑ์คนให้ทำคอกดักไว้จนเกือบถึงท้ายเกาะด้านใต้ ชาวบ้านจึงเรียกบริเวณแถบนี้ว่า “บ้านคอก” และเกาะซึ่งเกิดจากลิ่มและสลักที่ทำคอกนั้น เรียกว่า “เกาะลิ่ม” “เกาะสลัก” ส่วนมากจะเรียกรวมกันว่า “บ้านสลักคอก” ฝ่ายอ้ายเพชรนั้น เมื่อเดินเลียบชายฝั่งมาจนถึงท้ายเกาะ ก็ข้ามไปยังเกาะตามที่คาดไว้ พอว่ายน้ำไปได้สักครู่หนึ่งก็ถ่ายออกมากลายเป็น “หินกอง” ทุกวันนี้น้ำในบริเวณนั้นลึกมาก แต่ไม่ได้เป็นเส้นทางเดินเรือ จึงไม่ได้มีการสร้างประภาคารขึ้นที่บริเวณนี้ เมื่ออ้ายเพชรไปถึงแล้วแทนที่จะเข้าคอกไป  กลับเดินเลียบฝั่งอ้อมแหลมเข้าไปทางอ่าวด้านนอก พระโพธิสัตว์จึงได้สั่งให้คนไปช่วยกันสกัดให้กลับมาเข้าคอก ชาวบ้านจึงเรียกที่ ๆ ไปสกัดข้างนี้ว่าไปสลักหน้า และเรียกหมู่บ้านบริเวณนี้ว่า “บ้านสลักเพชร” ซึ่งหมายถึง สลักหน้าอ้ายเพชร โดยเหตุที่เกิดความยุ่งยากนี้ พระโพธิสัตว์จึงฝังอาถรรพ์ไว้ตามเกาะต่าง ๆ มิให้ช้างอาศัยอยู่อีกต่อไป นับแต่นั้นมา เกาะต่าง ๆ จึงไม่มีช้างอาศัยอยู่จนปัจจุบันนี้















ส้มโอ

ส้มโอ (Pummelo) เป็นพืชในตระกูลเดียวกันกับส้ม ซึ่งเดิมทีเรามักมีความเข้าใจว่า ส้มโอเป็นส้มชนิดหนึ่งเหมือนกับส้มผลเล็ก (Grapefruits) หรือส้มชนิดกึ่งส้มโอกับส้มเกลี้ยงที่เรานิยมรับประทานในทุกวันนี้ที่ใช้คำเรียกว่า “Pomelo” หรือที่เรียกในคำไทย คือ ส้มโอฝรั่ง แต่ความจริงแล้ว ส้มโอ ต่างจาก Grapefruit ทั้งชื่อเรียกทางวิทยาศาสตร์ รวมถึงลักษณะอื่นที่ต่างกัน อาทิ ส้มผลเล็กจะมีรสขมอมเปรี้ยว มีเนื้อเป็นกุ้งเล็กๆ และเรียวยาว เวลารับประทานนิยมใช้มีดผ่าครึ่ง แล้วใช้ช้อนตักรับประทาน ส่วนส้มโอ (Pummelo) จะมีรสหวานหรือหวานอมเปรี้ยว เนื้อเป็นกุ้งใหญ่ และอวบนูน เวลารับประทานนิยมแกะเปลือกออกก่อนจนเหลือแค่กลีบเนื้อผล
การปลูกส้มโอในประเทศไทยในช่วงแรกๆจะมีการปลูกบริเวณริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาในช่วงพระนคร และฝั่งธนบุรี ต่อมาจึงส่งเสริม และแพร่กันปลูกมากทั่วภาคกลาง ซึ่งพัฒนาสายพันธุ์ได้มากมาย โดยมีจุดเริ่มต้นของสายพันธุ์ในแถบจังหวัดภาคกลาง
• วงศ์ : Rutaceae
• วิทยาศาสตร์ :
– Citrus maxima (Burm.) Merrill
– C. grandis (L.) Osbeck
• ชื่อสามัญ :
– Pummel
– Ppomelo
– Shaddock
– Pumpelmoes
– Pomplemose
• ถิ่นกำเนิด : ประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงประเทศไทย
การแพร่กระจาย
ส้มโอเป็นไม้ผลที่พบปลูกในทุกภาคของไทย แต่มีจังหวัดที่ปลูกมาก ได้แก่
– ชุมพร
– นครปฐม
– นครศรีธรรมราช
– เชียงใหม่
– เชียงราย
ทั้งนี้ ประเทศไทยถือเป็นแหล่งพันธุ์ส้มโอที่มีมากที่สุดในโลก และมีพันธุ์ที่ให้ผลผลิตที่มีคุณภาพมากที่สุด
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ลำต้น
ลำต้นส้มโอมีลักษณะค่อนข้างเป็นเหลี่ยม และมีรูปทรงที่ไม่แน่นอน มีความสูงของลำต้นประมาณ 5-15 เมตร ลำต้นแตกกิ่งแขนงมาก กิ่งอ่อนมีขนปกคลุม ลำต้น และกิ่งมีหนามรูปทรงอ้วน ยาวประมาณ 1-5 เซนติเมตร ลำต้นมีทรงพุ่มบริเวณส่วนปลายของลำต้น ขนาดทรงพุ่มประมาณ 3-4 เมตร เปลือกลำต้นมีสีน้ำตาลอมเทา ส่วนเนื้อไม้มีลักษณะเหนียว แต่ไม่แข็ง กิ่งหักได้ยาก
ใบ
ส้มโอเป็นพืชใบเลี้ยงคู่ แตกออกเป็นใบเดี่ยว เรียงวนสลับกันบนกิ่ง ใบมีขนาดใหญ่ สีเขียวเข้ม แผ่นใบหนา และเป็นเป็นมัน กว้าง 10-12 เซนติเมตร ยาว 15-20 เซนติเมตร ใบประกอบด้วยแผ่นใบ และก้านใบ โดยก้านใบจะมีแผ่นใบขนาดเล็กที่เรียกว่า wing ส่วนแผ่นใบจะรูปร่างคล้ายรูปไข่ยาว หรือรูปโล่ ฐานใบแหลมป้าน ปลายใบมน และมีรอยเว้าตรงกลางเป็นรูปหัวใจ ส่วนขอบใบจะมีหยักเล็กๆ แผ่นใบด้านบนมีสีเขียวเข้มเป็นมันวาว ส่วนแผ่นใบด้านล่างเป็นสีเขียวอ่อน และมีขนนุ่มปกคลุม
ดอก
ดอกส้มโอออกเป็นช่อหรือออกเป็นดอกเดี่ยว แทงออกบริเวณปลายของกิ่งอ่อน ประกอบด้วยช่อดอกที่เกิดบริเวณปลายยอด และตายอดด้านข้าง แต่ละช่อมีดอก 1-20 ดอก ดอกมีขนาดใหญ่ และเป็นดอกสมบูรณ์เพศที่ผสมเกสรในดอกตัวเอง แต่ละดอกมีขนาด 3-7 เซนติเมตร ประกอบด้วยกลีบเลี้ยงที่ฐานดอก 3-5 กลีบ ส่วนกลีบดอกมีสีขาว กลีบดอกมีรูปหอก จำนวน 4-5 กลีบ กว้างประมาณ 1.5 เซนติเมตร ยาวประมาณ 3.5-4.0 เซนติเมตร แผ่นกลีบดอกหนา ด้านในกลีบดอกมีเกสรตัวผู้จำนวน 20-25 อัน เรียงซ้อนกันเป็นวงกลมรอบรังไข่ และมีฐานเกสรเชื่อมติดกันเป็นกลุ่ม 4-5 กลุ่ม ส่วนด้านในสุดเป็นรังไข่ที่แบ่งเป็นช่องๆ 11-16 ช่อง ทั้งนี้ ดอกส้มโอจะบานจากดอกส่วนปลายก่อน และทยอยบานในดอกโคนช่อ

Tuesday, February 14, 2017














    ส้ม
ส้ม (Orange) ผลไม้ยอดฮิตตลอดกาล จัดเป็นผลไม้ตระกูล Citrus ให้รสชาติเปรี้ยวหวาน ที่ยังอุดมไปด้วยวิตามินต่าง ๆ ซึ่งมีประโยชน์ต่อร่างกายของเรา เอ…แล้วส้มมีวิตามินอะไรบ้าง ? เช่น วิตามินซี วิตามินเอ (เบตาแคโรทีน) วิตามินบี วิตามินดี ธาตุแคลเซียม ธาตุโพแทสเซียม ธาตุฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก และคอลลาเจน นอกจากนี้ยังมีใยอาหารที่ช่วยในระบบขับถ่ายอีกด้วย สำหรับสรรพคุณของส้มในเรื่องอื่น ๆ เช่น ช่วยรักษาเลือดออกตามไรฟัน ช่วยล้างสารพิษในร่างกายด้วยสารต่อต้านอนุมูลอิสระ เป็นต้น
สำหรับการกินส้มนั้นสามารถกินได้ทุกเพศทุกวัยไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่ก็ตาม แต่ทั้งนี้เด็กต้องอายุมากกว่า 6 เดือนและการให้ดื่มน้ำส้มนั้นควรจะผสมน้ำเปล่าไปด้วยในปริมาณครึ่งต่อครึ่ง ทั้งนี้เพื่อลดการระคายเคืองสำหรับเด็ก เพราะส้มนั้นจะมีรสชาติเข้มข้น และการผสมน้ำก็เป็นอีกวิธีสำคัญที่ทำให้เด็กไม่ติดกินหวานได้ดีอีกด้วย และถัดมาสำหรับผู้ที่เป็นโรคเบาหวานหรือโรคไต หรือคิดว่ากำลังจะลดความอ้วน ควรกินด้วยความระมัดระวัง เพราะส้มมีน้ำตาลและโพรแทสเซียมสูง แต่ถ้าจะกินควรเลือกกินเพราะว่าส้มมันมีกากใยมากกว่าคิดว่าเป็นน้ำส้มคั้น
ส้มมีวิตามินซีเท่าไร ? ผลส้มสด 100 กรัม จะมีเบตาแคโรทีน 82 ไมโครกรัม และวิตามินซี 50 มิลลิกรัม ส้ม 1 ผลโดยทั่วไปจะมีน้ำหนักเฉลี่ยอยู่ที่ 140 กรัม ก็เท่ากับว่าส้ม 1 ลูกมีวิตามินซี 70 mg. และมีเบตาแคโรทีน 115 mcg. นั่นเอง “โดยการกินส้มวันละผลถือเป็นสิ่งที่ดี และยังช่วยป้องกันโรคมะเร็งบางชนิดได้อีกด้วย
















         องุ่นดำ


องุ่น มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ คือ Vitis vinifera Linn นับว่าเป็นผลไม้ยอดนิยมสำหรับใครหลายๆ คนเลยทีเดียว โดยเฉพาะเสน่ห์ของรสชาติที่มาพร้อมกับความเปรี้ยวอมหวานที่โดนใจเป็นอย่างยิ่ง และนอกจากในรูปแบบการบริโภคเนื้อองุ่นแล้ว ใบองุ่นก็ยังนิยมนำมาสกัดและเป็นส่วนผสมในเครื่องสำอางอย่างหลากหลาย ร่วมถึงผลิตภันฑ์บำรุงผิวต่างๆ 
            ในองุ่นมีสารอาหารมากมายที่ร่างกายต้องการ และมีส่วนในการสร้างภูมิคุ้มกันรักษาป้องกันโรคต่างๆ ได้อย่างมากมาย อาทิ
ช่วยให้ผนังหลอดเลือดแข็งแรง ลดความเสี่ยงต่อการจับตัวของก้อนเลือด และลดโคเลสเตอรอลชนิดแอลดีแอล (ไขมันไม่ดี) เหตุนี้จึงช่วยป้องกันโรคเกี่ยวกับระบบเลือดและหัวใจได้ดีเป็นอย่างยิ่ง นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติช่วยลดริ้วรอยและทำให้ผิวหนังมีความยืดหยุ่นมากขึ้น อีกด้วย ทั้งนี้องุ่นที่เราพบเห็นและผู้คนนิยมบริโภคกันทั่วไป จะแบ่งเป็น 3 ชนิดใหญ่ ได้แก่ 1). องุ่นแดง  2).องุ่นดำ  3). องุ่นเขียว
โดยในองุ่นจะประกอบด้วยสารอาหารหลักๆ คือ ฟรุกโตส กาแลกโตส กลูโคส ซึ่งเหล่านี้เป็นน้ำตาลที่ร่างกายต้องการใช้เพื่อสร้างพลังงาน เพื่อช่วยเร่งการเผาผลาญในร่างกาย และกระตุ้นให้ตับทำหน้าที่ฟอกเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้องุ่นยังอุดมไปด้วยวิตามิน  B1, B2, A, C และเกรือแร่ เราจึงเห็นเครื่องดื่มบำรุงกำลังบางชนิด นำองุ่นมาเป็นส่วนผสมร่วม เพราะร่างกายของเราสามารถดูดซึมน้ำตาลจากองุ่นได้ง่ายนั่นเอง 
            
จากการ วิจัยของนักวิทยาศาสตร์ เมืองนิวยอร์ก ประเทศอเมริกา พบว่า ในองุ่นมีสารต้านอนุมูลอิสระที่เรียกว่าPolyphenols ซึ่งส่วนใหญ่เราจะสามารถบริโภคได้ในรูปของน้ำองุ่นหรือไวน์แดง สาร Polyphenols นี้มีส่วนช่วยให้คนเรา มีอายุสมองที่ยาวนานและแข็งแรงขึ้น ทำให้สามารถทำงานและจดจำสิ่งต่างๆ ได้เป็นอย่างดีถึงแม้จะอายุมากแล้วก็ตาม การบริโภคองุ่นทุกวันจึงมีส่วนทำให้สมองปลอดโปร่ง และรู้สึกสดชื่นขึ้นได้

ประโยชน์สรรพคุณขององุ่นดำ
องุ่นดำ เป็นองุ่นที่มีกระแสมาแรงในช่วงนี้ ผู้ที่มีความต้องการที่จะลดพุง หรือลดไขมันส่วนเกินในร่างกาย องุ่นดำสมารถช่วยได้ ทั้งนี้เพราะองุ่นดำเป็นผลไม้ ที่มีไฟเบอร์สูงช่วยในเรื่องการเผาพลานไขมันได้ดี และช่วยลดความอยากรับประทานอาหารได้เนื่องจากมีใยอาหารสูง ความหวานในองุ่นดำ เป็นความหวานที่ได้จากฟรุกโตส ซึ่งเป็นน้ำตาลผลไม้ที่ให้พลังงานสูง ร่างกายสามารถนำไปใช้ได้โดยไม่ต้องเปลี่ยนไปอยู่ในรูปแบบของคาร์โบไฮเดรต อีกทั้งองุ่นเป็นผลไม้ที่ไม่มีไขมัน ดังนั้นผู้ที่ชื่นชอบความหวาน การบริโภคองุ่นจึงทิ้งความกังวลเรื่องความอ้วนไปได้เลย นอกจากนี้ในองุ่นดำยัง มีสารแอนตี้ออกซิแดนท์ (Antioxidantช่วยขับล้างสารพิษในลำไส้ ทำให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ปกติ ปัจจุบันองุ่นดำยังนับว่ามีราคาสูงเมื่อเทียบกับองุ่นชนิดอื่นๆ

ประโยชน์สรรพคุณขององุ่นเขียว 
องุ่นเขียว นับเป็นองุ่นที่หาบริโภคได้ง่ายที่สุด ช่วยลดภาวะเสี่ยงที่จะเกิดโรคมะเร็ง และมีประโยชน์อย่างมากกับผู้ป่วยที่เป็นโรคมะเร็ง ในองุ่นเขียวนอกจากจะมีสารอาหารหลักที่ร่างกายต้องการมากมาย อาทิเช่น วิตามิน A, C, B1, B2แล้ว ยังมีสารแอนตี้ออกซิแดนท์(antioxidant) ที่ประกอบด้วย คาเตชิน (Catechin) และเทอร์ซอทิลบีน (Ptersotilbene) มีสรรพคุณช่วยยับยั่งการเจริญของสาร oxident ที่เป็นสารก่อให้เกิดอนุมูลอิสระ อันเป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคมะเร็งชนิดต่างๆ อาทิ มะเร็งในลำไส้ มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูก และโรคมะเร็งอีกหลายชนิดที่มีสาเหตุมาจากอนุมูลอิสระในร่างกาย ทั้งนี้องุ่นเขียวยังช่วยในเรื่องของการผลัดเซลล์ผิวทำให้ผิวพรรณดูเปล่งปลั่งขึ้นได้

ประโยชน์สรรพคุณขององุ่นแดง
องุ่นแดง ประกอบด้วยสารอาหารป้องกันโรคและช่วยเสริมสร้างความงามให้กับผิวพรรณ นั่นเพราะต้องอาศัยความพิถีพิถันเป็นอย่างมากในการปลูก จึงทำให้องุ่นแดงมีราคาแพงมากที่สุดในเหล่าบรรดาองุ่นชนิดอื่น องุ่นแดงอุดมไปด้วยวิตามิน A,B1, B2 เกลือแร่ ธาตุเหล็ก น้ำตาลฟรุกโตส กาแลกโตส ซูโครส ที่ร่างกายสามรถดูดซึมได้ทันที โดยไม่ต้องรอให้น้ำตาลเปลี่ยนมาอยู่ในรูปของคาร์โบไฮเดรต เหตุนี้จึงทำให้ผู้บริโภคหายกังวลเรื่องความอ้วนไปได้เลย
องุ่นแดงมีสรรพคุณในการป้องกันโรคต่างๆ ได้อย่างมากมาย ในองุ่นแดงมีสารสำคัญอย่าง ฟลาโวนอยด์ (flavonoid) เป็นสารที่มีส่วนในการยับยั้งและต้านอนุมูลอิสระที่เป็นสาเหตุของการเกิดโรคมะเร็งชนิดต่างๆ ได้เช่นเดียวกับองุ่นชนิดอื่นๆ และสารแอนโธไซยานิน ที่ช่วยซ่อมแซมส่วนประสาท ช่วยขยายหลอดเลือด ทำให้โลหิตหมุนเวียนได้ดีขึ้น จึงช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง อมชมพูดูเป็นธรรมชาติ และในการรับประทานองุ่นแดง ยังช่วยลดคอเลสเตอรอล (Cholesterol) จึงมีส่วนช่วยลดภาวะการเกิดโรคหัวใจได้อีกด้วย


ส้มตำเป็นอาหารที่ชอบ เเละอร่่อบมาก 
    ส่วนผสมส้มตำปูปลาร้า
มะละกอดิบ  2 ถ้วย
กระเทียม  3 กลีบ
พริกขี้หนู  5-6 เม็ด
มะเขือเทศผ่าครึ่ง 1-2 ลูก
ปูดอง  1-2 ตัว
ถั่วฝักยาวหั่น 1 ฝัก
น้ำปลาร้าต้ม(ใส่เนื้อปลาร้าด้วยก็ได้) 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ
กุ้งแห้ง 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำมะนาว หรือ น้ำมะขามเปียก 1/4 ถ้วย
น้ำตาลปี๊ป 1 ช้อนโต๊ะ
 
วิธีทำส้มตำปูปลาร้า
1. ปลอกมะละกอ และล้างด้วยน้ำให้สะอาด แล้วทำการเฉาะและสับ แล้วใช้มีด ฝานให้เป็นเส้นๆ
หรืออาจใช้ที่ไสมะละกอแทน
2. ใส่กระเทียมและพริกขี้หนู ลงในครก แล้วตำให้พอแตก แล้วตามด้วยถั่วฝักยาว ตำให้แหลก
3. ใส่มะเขือเทศ น้ำมะนาว น้ำตาลปี๊บ น้ำปลา น้ำปลาร้า แล้วตำให้เข้ากัน
4. ใส่มะละกอ แล้วตามด้วยปูดอง(ดึงกระดองปูด้านในทิ้งก่อน)แล้วตำเบาๆ คลุกเคล้าให้เข้ากัน
5. ชิมแล้วปรุงจนชอบ ตักใส่จานทานพร้อมผักสด                                                                                             
























    ข้าวผัดกระเพรา เป็นอาหารที่ชอบกินมากสำหรับหนู  
                    ตั่งเมื่อวานเป็นวันวาเลนไทน์ หนูมีความสุขมากที่ได้อยู่่กับครอบครัว
                      ได้กินข้าวนอกบ้าน ได้เดินเที่่ยว  เก้ารอเก้า
















         กิจกรรมเข้าค่ายลูกเสือ ของหนู สำเร็จเเล้วดีใจ
       

         




                                                 ลดเวลาเรียนเพิ่มเวลารู้   สหกรณ์ในโรงเรียน
                                                  ได้จัดความรู้ให้เด็กเรียนรู้ เกี่ยวกับค่าเงิน
                                                   เเละขายของในสหกรณ์